กองอนุศาสนาจารย์
กรมยุทธศึกษาทหารเรือ
จัดทำบทความทางศีลธรรมและวัฒนธรรมเพื่อเผยแพร่ให้กำลังพลได้ทราบถึงหลักธรรม
ในการดำเนินชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความไม่ประมาท
สำหรับในวันนี้นำเสนอเรื่อง "น้ำผึ้งหยดเดียว"
มีเรื่องเล่าว่า
ชายคนหนึ่ง หาบน้ำผึ้งที่ใส่หม้อดินไปขายในตลาด มีคนเดินมาชนหาบของเขา
น้ำผึ้งจึงกระฉอกหกลงที่ถนน พวกแมลงหวี่ได้กลิ่นน้ำผึ้งจึงบินมาตอม
ฝ่ายแมวเห็นแมลงหวี่จับกลุ่มกินน้ำผึ้งก็ออกมาไล่ตะปบแมลงหวี่
ส่วนสุนัขที่อยู่บ้านถัดไปเห็นแมวอยู่ที่ถนน จึงวิ่งออกจากบ้านมาไล่กัดแมว
แมวรีบหนีเข้าบ้าน สุนัขก็ไล่เห่าแมวไปจนถึงบ้าน เจ้าของแมวเห็นสุนัขของคนข้างบ้านมาไล่กัดแมว
จึงคว้าไม้ไล่ตีสุนัขด้วยความโมโห สุนัขวิ่งไปทางตลาดเพื่อไปหาเจ้าของที่ขายของอยู่ในตลาด
เจ้าของสุนัขเห็นเจ้าของแมวไล่ตีสุนัขของตนมา จึงออกมาต่อว่า ในที่สุดก็ทำให้ทะเลาะกัน
อันเนื่องมาแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากน้ำผึ้งหยดเดียวแท้ ๆ
จากเรื่องดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า
ปัญหาที่เกิดขึ้นบางครั้งมาจากต้นตอเพียงเล็กน้อย แต่สามารถลุกลามใหญ่โตขึ้นได้
เพราะคู่กรณีหรือผู้เกี่ยวข้องไม่ยอมมาพบมาพูดคุยกัน ไม่ยอมมาไกล่เกลี่ยเพื่อให้เรื่องยุติโดยเร็ว
หรือบางครั้งมัวแต่พูดจาตอบโต้ท้าทาย เรื่องจึงบานปลายลุกลามใหญ่โต
กลายเป็นข้อพิพาทที่หาทางยุติไม่ได้ วิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดนั้น
พุทธศาสนาสอนให้ลดทิฐิมานะแล้วหาทางประนีประนอมกัน และตกลงกันในทางที่เหมาะที่ควร
จึงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ผู้ที่มองข้ามความสำคัญในข้อนี้
ต้องพบกับความวิบัติมามากต่อมากแล้ว อาทิ เด็ก ๆ
เล่นกันแล้วทะเลาะกัน
เป็นชนวนให้พ่อแม่ ผู้ปกครองทั้งสองฝ่ายทะเลาะกัน
คนบ้านชิดติดกันต้องมาทะเลาะกันเพียงแค่กิ่งมะม่วงยื่นเข้าไปในเขตบ้านกัน
และประเทศต่าง ๆ ต้องวุ่นวายเกิดความโกลาหล
เกิดปะทะกันรุนแรง
เสียหายไปทุกส่วนอยู่บ่อย ๆ เป็นต้น
ก็เพราะเรื่องแบบน้ำผึ้งหยดเดียวนี่เอง
ดังนั้น เมื่อเกิดปัญหาขึ้นในสังคม
จึงไม่มีวิธีใดดีเท่ากับการหันหน้ามาพูดคุยกันด้วยจิตอันประกอบด้วยเมตตา
หากทำได้เช่นนี้
เหตุการณ์ลักษณะน้ำผึ้งหยดเดียวก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
(ที่มา : อศจ.ยศ.ทร.)