"วิถีทางดำเนินของบ้านเมืองและ
ประชาชนโดยทั่วไป
มีความเปลี่ยนแปลงมาตลอดเนื่องจากความวิปริตผันแปรของวิถีแห่งเศรษฐกิจ
สังคม การเมือง และอื่น ๆ ของโลก
ยากยิ่งที่เราจะหลีกเลี่ยงให้พ้นได้
จึงต้องระมัดระวัง ประคับประคองตัวเรามากขึ้น
โดยเฉพาะในเรื่องการเป็นอยู่โดยประหยัดเพื่อที่จะอยู่ให้รอดและก้าวต่อไปได้
โดยสวัสดี"
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๑
วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558
ผู้บัญชาการทหารเรือ รับเยี่ยมคำนับจากเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ประจำประเทศไทย
วันนี้ (๓๑ มีนาคม
๒๕๕๘) เวลา ๑๐.๐๐ น. พลเรือเอก ไกรสร จันทร์สุวานิชย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ
รับเยี่ยมคำนับจาก ฯพณฯ นาง จอสลิน เอส บาทูน - การ์เชีย (Mrs.Jocelym
S.Batoon-Garcia) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐ ฟิลิปปินส์ เพื่ออำลาในโอกาสที่พ้นวาระการปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทย
ณ ห้องรับรอง กองบัญชาการกองทัพเรือ พื้นที่วังนันทอุทยาน เขตบางกอกน้อย
กรุงเทพมหานคร
การที่ผู้บัญชาการทหารเรือรับเยี่ยมคำนับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐ ฟิลิปปินส์ในครั้งนี้ เป็นการแสดงออกถึงความมีน้ำใจไมตรี และกระชับความสัมพันธ์อันดี ระหว่างกองทัพเรือกับสถานเอกอัครราชทูต สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น (ที่มา : ขว.ทร.)
การที่ผู้บัญชาการทหารเรือรับเยี่ยมคำนับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐ ฟิลิปปินส์ในครั้งนี้ เป็นการแสดงออกถึงความมีน้ำใจไมตรี และกระชับความสัมพันธ์อันดี ระหว่างกองทัพเรือกับสถานเอกอัครราชทูต สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น (ที่มา : ขว.ทร.)
รองผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด เป็นประธานปลูกป่าชายเลนเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี
วันนี้
(๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘) เวลา ๑๐.๐๐ น. พลเรือตรี สิริบุญ สุคนธมาน รองผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด
เป็นประธานเปิดกรวยดอกไม้สด กล่าวถวายราชสดุดี และกล่าวเปิดกิจกรรมปลูกป่าชายเลนเฉลิมพระเกียรติ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ
๕ รอบ ๖๐ พรรษา ๒ เมษายน ๒๕๕๘ ณ บริเวณสนามหน้าโรงเรียนวัดเสม็ดงาม
และพื้นที่ปลูกป่าชายเลน หมู่ ๑๐ ตำบลหนองบัว อำเภอเมืองจันทบุรี
จังหวัดจันทบุรี โดยมีนักเรียน นักศึกษา ประชาชน และผู้มีเกียรติ
ลงนามถวายพระพร และร่วมกิจกรรมปลูกป่าชายเลน
กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด จัดกิจกรรมปลูกป่าชายเลนเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้น เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง รวมทั้งปลูกจิตสำนึกให้แก่เยาวชนและประชาชนในพื้นที่ได้มีส่วนร่วมในการดูแล และอนุรักษ์ป่าชายเลนให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ (ที่มา : กปช.จต.)
กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด จัดกิจกรรมปลูกป่าชายเลนเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้น เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง รวมทั้งปลูกจิตสำนึกให้แก่เยาวชนและประชาชนในพื้นที่ได้มีส่วนร่วมในการดูแล และอนุรักษ์ป่าชายเลนให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ (ที่มา : กปช.จต.)
คณะเจ้าหน้าที่ กรมยุทธการทหารเรือ ต้อนรับกองทัพเรืออินโดนีเซียเดินทางมาร่วมเปิดประชุม Navy to Navy Talks ครั้งที่ ๖
วันนี้
(๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘) เวลา ๑๓.๑๐ น. คณะเจ้าหน้าที่ กรมยุทธการทหารเรือ
ให้การรับรองคณะผู้แทนกองทัพเรืออินโดนีเซีย ในโอกาสเดินทางเข้าร่วมการประชุม
Navy to Navy Talks ครั้งที่ ๖ ณ ห้องรับรองพิเศษ สนามบินสุวรรณภูมิ
จังหวัดสมุทรปราการ
การประชุม Navy to Navy Talks ระหว่างกองทัพเรือ - กองทัพเรืออินโดนีเซีย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้แทนกองทัพเรือของทั้งสองฝ่ายได้ร่วมหารือในเรื่องความมั่นคงทางทะเล การแลกเปลี่ยนและขยายความร่วมมือในด้านต่าง ๆ และเรื่องอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา รวมทั้งเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกัน โดยกำหนดให้จัดการประชุมทุก ๆ สองปี สลับกันเป็นเจ้าภาพ สำหรับการประชุมในครั้งนี้ กองทัพเรือเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม โดยฝ่ายกองทัพเรือมี พลเรือตรี นิกิตติ์ ฑีร์ฆะยศ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน กรมยุทธการทหารเรือ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนกองทัพเรือ และฝ่ายกองทัพเรืออินโดนีเซียมี พลเรือตรี Arie H.Sembiring ผู้ช่วยเสนาธิการทหารเรืออินโดนีเซียฝ่ายยุทธการ เป็นหัวหน้าคณะ (ที่มา : ยก.ทร.)
การประชุม Navy to Navy Talks ระหว่างกองทัพเรือ - กองทัพเรืออินโดนีเซีย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้แทนกองทัพเรือของทั้งสองฝ่ายได้ร่วมหารือในเรื่องความมั่นคงทางทะเล การแลกเปลี่ยนและขยายความร่วมมือในด้านต่าง ๆ และเรื่องอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา รวมทั้งเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างกัน โดยกำหนดให้จัดการประชุมทุก ๆ สองปี สลับกันเป็นเจ้าภาพ สำหรับการประชุมในครั้งนี้ กองทัพเรือเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม โดยฝ่ายกองทัพเรือมี พลเรือตรี นิกิตติ์ ฑีร์ฆะยศ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน กรมยุทธการทหารเรือ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนกองทัพเรือ และฝ่ายกองทัพเรืออินโดนีเซียมี พลเรือตรี Arie H.Sembiring ผู้ช่วยเสนาธิการทหารเรืออินโดนีเซียฝ่ายยุทธการ เป็นหัวหน้าคณะ (ที่มา : ยก.ทร.)
กรมประมง ประกาศ ๑ เมษายน นี้ นำร่อง...แจ้งเรือประมงเข้า - ออกท่า ๔ จังหวัดภาคใต้ เพื่อแก้ไขปัญหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม
ตั้งแต่วันที่
๑ ถึง ๑๐ เมษายน ๒๕๕๘ กรมประมงทดลองการใช้ระบบควบคุมการแจ้งเข้า
- ออกเรือประมง (Port in - Port out) ใน ๔ จังหวัดภาคใต้ ได้แก่
จังหวัดชุมพร จังหวัดระนอง จังหวัดสงขลา และ จังหวัดภูเก็ต ขอความร่วมมือเรือประมง
ขนาด ๓๐ ตันกรอส ขึ้นไป ปฏิบัติตามแนวทางการควบคุมและเฝ้าระวังการทำประมงเพื่อช่วยขจัดการทำประมง
IUU
วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๘ กรมประมงจะดีเดย์เริ่มทดลองใช้ระบบควบคุมการแจ้งเข้า - ออกของเรือประมง (Port in - Port out) สำหรับเรือประมงที่มีขนาด ๓๐ ตันกรอส ขึ้นไป ก่อนจะออกไปทำการประมง และกลับเข้าเทียบท่า ต้องแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ ศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า - ออกของเรือประมงที่กำหนด เพื่อตรวจสอบข้อมูลการทำประมง อาทิ ตรวจสอบเครื่องมือทำการประมง ว่าถูกต้องตามใบอนุญาตหรือไม่ ชนิดสัตว์น้ำที่จับได้มาสอดคล้องกับประเภท ชนิด เครื่องมือหรือไม่ ท่าเรือที่เข้า-ออก ทะเบียนเรือ ใบอนุญาตใช้เรือ ชื่อเรือประมง เครื่องมือและอุปกรณ์ประจำเรือ บุคคลทำการประมงประจำเรือ (กัปตัน เจ้าของเรือ แรงงานบนเรือ) มีรายชื่อ จำนวนแรงงานถูกต้องตามข้อเท็จจริงหรือไม่ และสัญญาจ้างแรงงานประมง รวมถึงบุคคลต่างด้าวที่เป็นลูกเรือ ต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการทำงานคนต่างด้าวด้วย ฯลฯ
ทั้งนี้ ศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า - ออกเรือประมง ตั้งอยู่ที่สถานีวิทยุประมงชายฝั่งของกรมประมง ซึ่งอยู่ในพื้นที่ใกล้ท่าเทียบเรือ จำนวน ๒๖ ศูนย์ ครอบคลุมท่าเทียบเรือ ๒๙๒ แห่ง ทั้งนี้ ในครั้งแรกจะทดลองนำร่องการปฏิบัติงานในพื้นที่ ๔ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชุมพร จังหวัดระนอง จังหวัดสงขลา และจังหวัดภูเก็ต ระหว่างวันที่ ๑ - ๑๐ เมษายน ๒๕๕๘ โดยการปฏิบัติงานในพื้นที่ครั้งนี้มีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยว ข้อง อาทิ กองทัพเรือ กรมเจ้าท่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ฯลฯ และหลังจากนี้จะมีการนำผลการทดลองการแจ้งเข้า-ออกเรือประมง มาประชุมวิเคราะห์ออกกฎหมายลำดับรองเพื่อดำเนินการบังคับ
สำหรับแนวทางการดำเนินการ ประกอบด้วย ๓ ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ ๑ เรือประมงกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มให้ครบถ้วน เพื่อนำไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ท่าเรือ แพปลา ก่อนที่จะออกเรือ ๖ ชั่วโมง หรือภายใน ๓ ชั่วโมง หลังจอดเรือเสร็จ
ขั้นที่ ๒ เจ้าหน้าที่ท่าเรือ/แพปลา ส่งโทรสาร หรือ Line ภาพถ่ายแบบฟอร์ม รายงานการเข้า - ออก Port in - Port out (PIPO) ที่เรือประมงกรอกไว้ ส่งให้เจ้าหน้าที่ศูนย์รายงานการเข้า - ออกเรือประมง Port in - Port out (PIPO) ที่คุมท่าเรือนั้น ๆ
ขั้นที่ ๓ เจ้าหน้าที่ศูนย์รายงานเข้า - ออกเรือประมง Port in - Port out (PIPO) ตรวจสอบความสมบูรณ์ ความถูกต้องของข้อมูล แล้วบันทึกลงในระบบ Fishing info ของกรมประมง
เมื่ออยู่ในทะเล เรือประมงต้องเปิดระบบติดตามเรือ หรือระบบ VMS (Vessel Monitoring System) ซึ่งในขณะนี้กรมเจ้าท่ากำลังดำเนินการติดให้กับเรือประมงต่าง ๆ เพื่อให้ศูนย์รักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เขต ๑ - ๓ สามารถติดตามเรือประมงต่าง ๆ ได้จากระบบ Fishing info และระบบติดตามเรือ หรือ VMS (Vessel Monitoring System) ผ่าน ศูนย์รักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล
ดังนั้น จึงขอความร่วมมือชาวประมงในพื้นที่ ทดลองนำร่องการปฏิบัติการในครั้งนี้ตามกำหนดการ และสถานที่ดังกล่าว เพื่อเป็นการแสดงถึงการให้ความร่วมมือของชาวประมงไทยในการขจัดการ ทำประมง IUU
(ที่มา : กรมประมง)
วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๘ กรมประมงจะดีเดย์เริ่มทดลองใช้ระบบควบคุมการแจ้งเข้า - ออกของเรือประมง (Port in - Port out) สำหรับเรือประมงที่มีขนาด ๓๐ ตันกรอส ขึ้นไป ก่อนจะออกไปทำการประมง และกลับเข้าเทียบท่า ต้องแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ ศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า - ออกของเรือประมงที่กำหนด เพื่อตรวจสอบข้อมูลการทำประมง อาทิ ตรวจสอบเครื่องมือทำการประมง ว่าถูกต้องตามใบอนุญาตหรือไม่ ชนิดสัตว์น้ำที่จับได้มาสอดคล้องกับประเภท ชนิด เครื่องมือหรือไม่ ท่าเรือที่เข้า-ออก ทะเบียนเรือ ใบอนุญาตใช้เรือ ชื่อเรือประมง เครื่องมือและอุปกรณ์ประจำเรือ บุคคลทำการประมงประจำเรือ (กัปตัน เจ้าของเรือ แรงงานบนเรือ) มีรายชื่อ จำนวนแรงงานถูกต้องตามข้อเท็จจริงหรือไม่ และสัญญาจ้างแรงงานประมง รวมถึงบุคคลต่างด้าวที่เป็นลูกเรือ ต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการทำงานคนต่างด้าวด้วย ฯลฯ
ทั้งนี้ ศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า - ออกเรือประมง ตั้งอยู่ที่สถานีวิทยุประมงชายฝั่งของกรมประมง ซึ่งอยู่ในพื้นที่ใกล้ท่าเทียบเรือ จำนวน ๒๖ ศูนย์ ครอบคลุมท่าเทียบเรือ ๒๙๒ แห่ง ทั้งนี้ ในครั้งแรกจะทดลองนำร่องการปฏิบัติงานในพื้นที่ ๔ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชุมพร จังหวัดระนอง จังหวัดสงขลา และจังหวัดภูเก็ต ระหว่างวันที่ ๑ - ๑๐ เมษายน ๒๕๕๘ โดยการปฏิบัติงานในพื้นที่ครั้งนี้มีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยว ข้อง อาทิ กองทัพเรือ กรมเจ้าท่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ฯลฯ และหลังจากนี้จะมีการนำผลการทดลองการแจ้งเข้า-ออกเรือประมง มาประชุมวิเคราะห์ออกกฎหมายลำดับรองเพื่อดำเนินการบังคับ
สำหรับแนวทางการดำเนินการ ประกอบด้วย ๓ ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ ๑ เรือประมงกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มให้ครบถ้วน เพื่อนำไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ท่าเรือ แพปลา ก่อนที่จะออกเรือ ๖ ชั่วโมง หรือภายใน ๓ ชั่วโมง หลังจอดเรือเสร็จ
ขั้นที่ ๒ เจ้าหน้าที่ท่าเรือ/แพปลา ส่งโทรสาร หรือ Line ภาพถ่ายแบบฟอร์ม รายงานการเข้า - ออก Port in - Port out (PIPO) ที่เรือประมงกรอกไว้ ส่งให้เจ้าหน้าที่ศูนย์รายงานการเข้า - ออกเรือประมง Port in - Port out (PIPO) ที่คุมท่าเรือนั้น ๆ
ขั้นที่ ๓ เจ้าหน้าที่ศูนย์รายงานเข้า - ออกเรือประมง Port in - Port out (PIPO) ตรวจสอบความสมบูรณ์ ความถูกต้องของข้อมูล แล้วบันทึกลงในระบบ Fishing info ของกรมประมง
เมื่ออยู่ในทะเล เรือประมงต้องเปิดระบบติดตามเรือ หรือระบบ VMS (Vessel Monitoring System) ซึ่งในขณะนี้กรมเจ้าท่ากำลังดำเนินการติดให้กับเรือประมงต่าง ๆ เพื่อให้ศูนย์รักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เขต ๑ - ๓ สามารถติดตามเรือประมงต่าง ๆ ได้จากระบบ Fishing info และระบบติดตามเรือ หรือ VMS (Vessel Monitoring System) ผ่าน ศูนย์รักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล
ดังนั้น จึงขอความร่วมมือชาวประมงในพื้นที่ ทดลองนำร่องการปฏิบัติการในครั้งนี้ตามกำหนดการ และสถานที่ดังกล่าว เพื่อเป็นการแสดงถึงการให้ความร่วมมือของชาวประมงไทยในการขจัดการ ทำประมง IUU
(ที่มา : กรมประมง)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)