วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2557

กรมอู่ทหารเรือ รับสมัครทหารกองประจำการเพื่อบรรจุเข้ารับราชการต่อในอัตราจ่าเอก พรรคพิเศษ เหล่าทหารสารบรรณ

กรมอู่ทหารเรือ รับสมัครทหารกองประจำการเพื่อบรรจุเข้ารับราชการต่อในอัตราจ่าเอก พรรคพิเศษ เหล่าทหารสารบรรณ จำนวน ๖ อัตรา โดยรับทหารกองประจำการทุกพรรค - เหล่า ที่จะครบกำหนดปลดจากกองประจำการ ใน ๑ สิงหาคม ๒๕๕๗
        หลักฐานการสมัคร ประกอบด้วย วุฒิการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ ๓ และหนังสือแสดงผลการศึกษา, สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้สมัคร และบิดามารดาของผู้สมัคร หรือหลักฐานอื่น ๆ ที่แสดงว่าบิดา มารดา ปู่ย่า ตายายของผู้สมัครเป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด, สัญญาของผู้สมัครและผู้ค้ำประกัน, ผลการตรวจสอบประวัติบุคคล (รปภ.๑), ผลการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม, ผลการตรวจสุขภาพจากโรงพยาบาลในสังกัดกองทัพเรือ
        ทหารกองประจำการที่มีความประสงค์จะสมัครรับราชการต่อในอัตราจ่าเอก ขอให้แจ้งรายชื่อพร้อมหลักฐานการสมัคร ให้หน่วยต้นสังกัด ส่งถึงกรมอู่ทหารเรือ ภายในวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๗ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ แผนกกำลังพล กองกำลังพล กรมอู่ทหารเรือ หมายเลขโทรศัพท์ภายใน ๕๔๑๕๑
(ที่มา : อร.)

บทความทางศีลธรรมและวัฒนธรรม เรื่อง "สุขใจเมื่อใจพอ"

 กองอนุ ศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ จัดทำบทความทางศีลธรรมและวัฒนธรรมเพื่อเผยแพร่ให้กำลังพลได้ทราบถึงหลักธรรม ในการดำเนินชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความไม่ประมาท สำหรับในวันนี้นำเสนอเรื่อง "สุขใจเมื่อใจพอ"
         เหตุการณ์ในชีวิตประจำวันของคนเรา ล้วนมีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย ส่วนหนึ่งก็คือ ปัญหาเรื่องการแสวงหาปัจจัย ๔ ในการดำรงชีพ ทั้ง ๆ ที่ไม่น่าจะมีปัญหา ในการแสวงหาปัจจัยที่จำเป็นพื้นฐานของชีวิต คนจำนวนไม่น้อย แม้จะทราบถึงความสำคัญของปัจจัยเครื่องดำเนินชีวิตว่า ถ้าได้เพียงปัจจัย ๔ คือ มีอาหารอย่างเพียงพอ มีเสื้อผ้าสวมใส่ตามวัฒนธรรม ประเพณี มียารักษาโรคตามระบบประกันสุขภาพ และมีบ้านอยู่อาศัย ก็น่าจะเพียงพอแล้ว หากพิจารณาตามความเป็นจริง ปัจจัยที่เป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิตของคนเรา ก็ไม่เกินไปจากปัจจัย ๔ มากนัก เพราะปัจจัย ๔ โดยเนื้อแท้ในตัวของมันเอง ก็พอที่จะทำให้การใช้ชีวิตเป็นไปได้อย่างราบรื่น บรรลุถึงเป้าหมายของกาดรำรงชีพได้เช่นกัน
        สังคมปัจจุบัน ความเจริญก้าวหน้าด้านวัตถุเป็นไปอย่างก้าวกระโดด ทำให้เป้าหมายการใช้ชีวิตของคนส่วนมาก ไปผูกโยงอยู่กับวัตถุมากเกินไป โดยมีความเข้าใจว่ายิ่งได้วัตถุมาบำรุงบำเรอตนมากไปเท่าไร ก็จะมีความสุขมากเท่านั้น จึงมีปัญหาใหญ่ที่ตามมาคือ เกิดการแสวงหาเพือ่ให้ได้วัตถุมาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยลืมคิดไปว่า แท้จริงแล้ว ความยากได้ของส่วนเกินต่างหากที่เป็นปัญหา จึงเกิดการแสวงหาทางลัด แบบไม่ถูกต้อง ทุกจริต คดโกง
        มนุษย์แม้จะได้วัตถุมามากเพียงใด ก็ไม่อาจสนองความอยากความต้องการของตนได้หมดสิ้น พุทธศาสนาสอนจึงว่า "หากว่ามนุษย์ได้ทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ปรารถนาแล้ว ห้องจักรวาลนี้ก็ยังคับแคบ เมื่ออยากได้อะไรก็อย่าไปอยากมากเกินไป เพราะเมื่อไม่ได้จะเป็นทุกข์เมื่อพยายามแล้วไม่สมหวังก็หัดปล่อยวางอารมณ์ นั้นบ้าง ฝึกหัดใจให้รู้จักปล่อยวาง สร้างภูมิคุ้มกันจิต ยึดหลักสันโดษที่ว่า พอใจตามมี ยินดีตามได้ สุขใจตามกำลังของตน" เป็นต้น เพียงเท่านี้ชีวิตก็จะมีความสุขเข้าลักษณะที่ว่าสุขได้เมื่อใจพอ สมดังคติธรรมคำสอนที่นักปราชญ์ประพันธ์ไว้ว่า

สันโดษนี้ดีนักรู้หักห้าม ย่อมได้ความสุขามาเสวย
ใช้ตามได้ตามมีที่เราเคย สุขเสบยจริงหนอรู้พอดี
ไม่จำกัดปัจจัยเที่ยวไขว่คว้า แสวงหาอื่นหมายได้สุขี
มิพอใจใช้กินมิยินดี ที่ตัวมีทุกข์มากลำบากครัน
(ที่มา : อศจ.ยศ.ทร.)

กำหนดจัดพิธีไหว้ครูดนตรีและนาฎศิลป์ ประจำปี ๒๕๕๗ ใน ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๗

 ฐานทัพเรือกรุงเทพ กำหนดจัดพิธีไหว้ครูดนตรีและนาฎศิลป์ ประจำปี ๒๕๕๗ ณ หอดุริยางค์ กองดุริยางค์ทหารเรือ ฐานทัพเรือกรุงเทพ ในวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๗
         พิธีไหว้ครูดุริยางค์ เป็นพิธีและประเพณีที่กองดุริยางค์ทหารเรือ ได้ถือปฏิบัติสืบต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๔๖ เมื่อครั้งที่ จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์กรมพระนครสวรรค์วรพินิจ ขณะทรงดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารเรือ ทรงได้ดำริให้กองแตรทหารเรือ จัดพิธีไหว้ครูขึ้นเพื่อเป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพ กตัญญู และระลึกถึงพระคุณของครูอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้
         ขอเชิญชวนข้าราชการทหาร ลูกจ้าง พนักงานราชการ นักเรียนดุริยางค์ และศิษย์เก่ากองดุริยางค์ทหารเรือ และผู้ที่สนใจเข้าร่วมพิธีไหว้ครูและนาฎศิลป์ ประจำปี ๒๕๕๗ ได้ตาม วัน เวลา และสถานที่ดังกล่าว
(ที่มา : ดย.ทร. ฯ)

พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

  "…สามัคคีหรือการปรองดองกัน ไม่ได้หมายความว่าคนหนึ่งพูดอย่างหนึ่ง คนอื่นต้องพูดเหมือนกันหมด ลงท้ายชีวิตก็ไม่มีความหมาย ต้องมีความแตกต่างกัน แต่ต้องทำงานให้สอดคล้องกัน แม้จะขัดกันบ้างก็ต้องสอดคล้องกัน
         พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๔ ธันวาคม ๒๕๓๖