กองอนุศาสนาจารย์
กรมยุทธศึกษาทหารเรือ
จัดทำบทความทางศีลธรรมและวัฒนธรรมเพื่อเผยแพร่ให้กำลังพลได้ทราบถึงหลักธรรม
ในการดำเนินชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความไม่ประมาท
สำหรับในวันนี้นำเสนอเรื่อง "ฤทธิ์คำชม" ดังนี้
นักจิตวิทยาท่านหนึ่ง
แนะวิธีทำใจให้มีความสุขด้วยวิธีการง่าย ๆ คือ
หาทางยกย่องชมเชยคนให้ได้อย่างน้อยวันละ
๑ ครั้ง เหตุเพราะว่า ที่ใดมีคำชม
ที่นั่นย่อมมีความสุขทั้ง ๒
ฝ่าย คือ
ผู้รับคำชมเชยย่อมจะรู้สึกภาคภูมิใจที่มีคนมองเห็นความดีของตน
จึงพร้อมจะเป็นมิตรกับผู้พูด ฝ่ายผู้ชม
ตลอดเวลาที่คิดถึงความดีของคนอื่นเพื่อจะชม
ก็ทำให้จิตอ่อนโยน และเมื่อพูดออกไปก็เป็นปิยวาจา
ทำให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกดีต่อกันเป็นบ่อเกิดแห่งความสามัคคีในที่สุดได้
ในอดีตกาล
พระพุทธองค์ก็ทรงยกย่องชมเชยพระสาวกไว้ในเอตทัคคะต่าง
ๆ มากมายมีทั้งที่เป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกา
เช่น ทรงยกย่องชมเชยพระอัญญาโกณฑัญญะว่าเป็นเลิศด้านรัตตัญญู
พระสารีบุตรเป็นเลิศด้านมีปัญญา พระอุบลวรรณาเถรี
เป็นเลิศด้านมีฤทธิ์
อนาถปิณฑิกเศรษฐีเป็นเลิศในฝ่ายทายกและนางวิสาขามหาอุบาสิกาเป็นเลิศในฝ่าย
ทายิกา
เป็นต้น ทำให้พระสาวกมีกำลังใจในการทำความดียิ่งขึ้น
และพระสาวกรูปอื่น
ๆ ก็ยึดเป็นแบบอย่างต่อไป
สำหรับหลักในการชมโดยทั่วไปนั้น
ท่านให้ชมสิ่งที่เป็นคุณธรรมเป็นหลัก เช่น ชมความอดทน ชมความรับผิดชอบ
ชมความกล้าหาญ เป็นต้น เพราะการชมสิ่งดังกล่าวนี้ จะทำให้คนเข้าถึงความดีงามที่สูงขึ้นประณีตขึ้นนั่นเอง
ซึ่งต่างจากการชมสิ่งที่เป็นวัตถุธรรม เช่น เสื้อผ้าอาภรณ์ แก้วแหวนเงินทอง
เป็นต้น เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สัจธรรมที่เป็นสากล อีกทั้งยังไม่มีความจีรังยั่งยืน
หากอยากได้ความสุขและมิตรภาพที่ไม่ต้องซื้อหา
วิธีการง่าย ๆ ก็คือ
หาทางชมคนให้ได้อย่างน้อย วันละ ๑ ครั้ง
เพียงเท่านี้ความสุขและมิตรภาพก็พร้อมจะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาเพราะคำชมหรือ
คำยกย่องสรรเสริญนั้น
ถ้าใช้อย่างเหมาะสมถูกกาลเทศะแล้ว ก็เป็นสิ่งที่มีฤทธิ์
ทำให้ผู้ชมและผู้รับคำชมรู้สึกดีต่อกัน
เกิดความรักใคร่กลมเกลียวกัน และทำให้ความสัมพันธ์ที่ดี ๆ
อีกมากมายเกิดขึ้นได้
(ที่มา : อศจ.ยศ.ทร.)