โรคเบาหวาน อดีตเป็นโรคที่เรื้อรัง
เนื่องจากร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง
โดยปกติเวลารับประทานอาหารเข้าไป
สารอาหารจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลและร่างกายจะนำน้ำตาลไปใช้ให้เกิดพลังงาน
โดยการนำเข้าไปในเซลล์หรือหน่วยเล็ก ๆ
ของร่างกายเพื่อเอาไปเผาผลาญ
สารเคมีหรือฮอร์โมนที่ทำหน้าที่เอาน้ำตาลเข้าเซลล์ คือ
ฮอร์โมนอินสูลิน
(Insulin) ที่สร้างและหลั่งมาจากตับอ่อน
แต่ปัจจุบันเป็นเพียงโรคประจำตัวที่เมื่อผู้เป็นเบาหวานสามารถจัดการตนเอง
ให้ควบคุมระดับน้ำตาลที่ใกล้เคียงปกติ
สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข
ในผู้ป่วยเบาหวาน
เมื่อรับประทานอาหารเข้าไป ร่างกายจะไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้
เนื่องจากร่างกายขาดอินสูลินหรืออินสูลินออกฤทธิ์ได้ไม่ดี จึงเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง
และผลที่ตามมาคือ "โรคเบาหวาน" กล่าวคือ ผู้ป่วยจะปัสสาวะบ่อย
มีน้ำตาลออกมาในปัสสาวะ และหากมีอาการรุนแรง ร่างกายจะสลายไขมันมาใช้เป็นพลังงานแทนน้ำตาล
สารที่ได้เรียกว่า "กรดคีโตน" ทำให้มีอาการหายใจหอบลึก
และอาจทำให้ระบบการหายใจล้มเหลวได้
อย่างไรก็ดี
ชนิดของ เบาหวานในเด็กและวัยรุ่น มีชนิดย่อยหลายชนิด
แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ
เบาหวานชนิดที่ ๑ (Type 1 DM) พบได้ประมาณ ร้อยละ ๗๐ -
๘๐ ของเบาหวานในเด็กและวัยรุ่น
อายุน้อยกว่า ๑๕ ปี เบาหวานชนิดที่ ๑ ในประเทศไทย
จากข้อมูลล่าสุดมี
ประมาณร้อยละ ๓ ของผู้ป่วยเบาหวานทั่วประเทศ
มีสาเหตุเกิดจากการที่ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อต้านเซลล์ของตับอ่อนที่ทำ
หน้าที่ผลิตอินซูลิน
ทำให้ไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ (ร่างกายขาดอินซูลิน)
เมื่อแรกพบผู้ป่วยมักจะมีอาการน้ำหนักลด
ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ บางรายรุนแรงมีกรดคั่งในเลือด
สาเหตุที่ตับอ่อนถูกทำลาย
ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่จากหลักฐานทางการแพทย์คาดว่า เกิดจากปัจจัยทางกรรมพันธุ์
การติดเชื้อบางอย่างเป็นตัวกระตุ้น การรักษาโดยการฉีดฮอร์โมนอินซูลินเข้าผิวหนัง
วันละ ๒ - ๔ ครั้ง และจัดการอาหารในแต่ละมื้อให้สมดุลกับยาฉีดอินซูลิน
ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการรักษาที่ทำให้หายขาดและยังไม่พบวิธีที่จะป้องกัน
แพทย์และนักวิจัยต่างพยายามหาวิธีป้องกันในเด็กที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง
เช่น เด็กที่มีพี่น้องป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่ ๑ และวิธีการรักษาโดยการปลูกถ่ายเซลล์ตับอ่อน
ซึ่งยังต้องติดตามผลการวิจัยต่อไป
เมื่อใดควรมาพบแพทย์
เป็นคำถามที่ดี ถ้าบุตรหลานของท่านมีอาการผิดปกติที่น่าสงสัยว่าอาจเป็นเบาหวาน
เช่น ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำ กินจุ ผอมลง ปัสสาวะมีมดตอม เป็นแผลหายช้า
ติดเชื้อที่ผิวหนัง หรือมีประวัติสมาชิกในครอบครัวเป็นเบาหวาน
หรือมีปื้นดำที่คอ ควรพาเด็กมาพบกุมารแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย
ลองสังเกตดูว่า
บุตรหลานของท่านมีปัจจัยเสี่ยง หรืออาการที่เข้าได้กับเบาหวานหรือไม่
ถ้ามีควรมารับการตรวจวินิจฉัยจากกุมารแพทย์ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทางไต ตา และหลอดเลือดในอนาคต
(ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์)