ขณะนี้หลายพื้นที่ของประเทศไทยหมดช่วง
ฤดูฝน
รวมทั้งปริมาณน้ำฝนที่ตกในปี พุทธศักราช ๒๕๕๗
มีปริมาณน้อยส่งผลกระทบให้เกิดภาวะภัยแล้งในหลายพื้นที่
ทำให้อุณหภูมิของอากาศและน้ำเปลี่ยนแปลงง่ายขึ้นโดยเฉพาะในช่วงระหว่างเดือน
มกราคม
- เดือนพฤษภาคมของทุกปี ส่งผลให้ปริมาณน้ำทั้งในแม่น้ำ
ลำคลอง
แหล่งน้ำธรรมชาติไม่เพียงพอต่อความต้องการของ
ประกอบกับปริมาณของสารเคมีและสารแขวนลอยในแหล่งน้ำดังกล่าวมีปริมาณเข้มข้น
ขึ้น
ทำให้สภาวะสิ่งแวดล้อมของน้ำเปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลันอันจะส่งผลกระทบต่อ
สุขภาพของสัตว์น้ำที่เกษตรกรเลี้ยงได้
ในส่วนของกรมประมงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
พร้อมประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนแก่เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อเตรียมตัวรับกับสถานการณ์
รวมทั้งหาวิธีการป้องกัน แก้ไข และหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
เกษตรกรผู้ประกอบอาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเตรียมการป้องกันด้วยวิธีการปฏิบัติ
ดังนี้
สำหรับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในกระชัง
๑. จัดทำร่มเงาเพื่อลดปริมาณความร้อนของแสงแดดบริเวณกระชังเลี้ยงสัตว์น้ำ
๒. ลดปริมาณการให้อาหารลง
10 - 20 %
๓. เพิ่มปริมาณออกซิเจนให้แก่ปลาในกระชัง
โดยการติดตั้งเครื่องพ่นน้ำลงในกระชังเลี้ยงปลา หรือเดินท่อเติมอากาศให้กับปลาที่เลี้ยงในกระชังโดยตรง
๔. คัดเลือกสัตว์น้ำที่ได้ขนาดออกจำหน่าย
เพื่อลดปริมาณความหนาแน่นของสัตว์น้ำในกระชัง
๕. ไม่ควรปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำลงเลี้ยงในกระชังหนาแน่นเกินไป
๖.
ควรหลีกเลี่ยงการปล่อยลูกพันธ์สัตว์น้ำชุดใหม่ลงเลี้ยงหรือจำกัดปริมาณการ
เลี้ยงสัตว์น้ำในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน
- พฤษภาคม
เพื่อดำเนินการพักซ่อมแซมกระชังและลดความเสี่ยงต่อความเสียหายที่อาจเกิด
ขึ้นเนื่องจากปริมาณน้ำในแม่น้ำมีน้อยไม่เพียงพอต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
๗. จัดแนวการเรียงตัวของกระชังให้แต่ละกระชังมีกระแสน้ำไหลผ่านมากที่สุด
เพื่อให้ของเสียจากการเลี้ยงสัตว์น้ำมีการถ่ายเทอย่างสะดวก
๙. ตรวจตราให้ความสนใจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อจะได้แก้ไขหรือรักษาได้ทันท่วงที
กรณีเกิดอาการผิดปกติของสัตว์น้ำและสิ่งแวดล้อม
สำหรับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในบ่อดิน
๑.
ควบคุมการใช้น้ำและรักษาปริมาณน้ำในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำให้มีการสูญเสียน้อยที่สุด
ดำเนินการปรับปรุงซ่อมแซมคันบ่อเพื่อป้องกันการรั่วซึมของน้ำและจัดทำร่มเงาให้กับสัตว์น้ำในบ่อเลี้ยง
๒.
จัดเตรียมแหล่งน้ำสำรองไว้ใช้เพิ่มเติม
๓.
ลดปริมาณให้อาหารสัตว์น้ำลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นอาหารสดเพื่อป้องกันปัญหาน้ำเน่าเสีย
๔.
คัดสัตว์น้ำที่ได้ขนาดขึ้นจำหน่ายหรือบริโภค เพื่อลดปริมาณสัตว์น้ำในบ่อเลี้ยง
๕.
เพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำโดยใช้เครื่องสูบน้ำจากก้นบ่อพ่นให้สัมผัสกับอากาศ
แล้วไหลคืนลงบ่อหรือเดินท่อเติมอากาศลงน้ำโดยตรงเพื่อเพิ่มออกซิเจนให้กับ
ปลาที่เลี้ยงในบ่อ
๖.
ปรับสภาพดินและคุณสมบัติของน้ำ เช่น น้ำลึก 1 เมตร ใส่ปูนขาว 50
กก./ไร่ ถ้าบ่อมีตะไคร่น้ำหรือแก๊สมากเกินไป ควรใส่เกลือ 50 กก./ไร่
เพื่อปรับสภาพผิวดินให้ดีขึ้น
๗. ตรวจสอบคุณสมบัติของน้ำจากภายนอกที่จะสูบเข้าบ่อเลี้ยง
เช่น หากพบว่ามีตะกอนและแร่ธาตุต่างๆ เข้มข้น ควรงดการสูบน้ำเข้าบ่อ
๘. ควรปล่อยสัตว์น้ำลงเลี้ยงในปริมาณที่หนาแน่นน้อยกว่าปกติ
และควรปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำที่มีขนาดใหญ่ เพื่อลดระยะเวลาการเลี้ยงให้น้อยลง
๙. ควรงดเว้นการขนถ่ายสัตว์น้ำถ้าจำเป็นควรระมัดระวังให้มาก
เนื่องจากจะมีผลกระทบต่อการกินอาหารและการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำโดยตรง
๑๐.
ควรมีการวางแผนการเลี้ยงสัตว์น้ำในช่วงฤดูแล้ง
หากมีแหล่งน้ำสำรองน้อยให้จำกัดปริมาณการเลี้ยง
และเตรียมทำการตากบ่อและตกแต่งบ่อเลี้ยงในช่วงฤดูแล้งเพื่อเตรียมไว้เลี้ยง
สัตว์น้ำในรอบต่อไป
๑๑. ตรวจตราให้ความสนใสสุขภาพสัตว์น้ำอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อจะได้แก้ไขหรือรักษาได้ทันท่วงที กรณีเกิดอาการผิดปกติของสัตว์น้ำและสิ่งแวดล้อม
๑๒. ถ้าพบปลาในบ่อเลี้ยงหรือในกระชังป่วยหรือตายควรตักออกแล้วนำไปฝังกลบหรือเผาทำลาย
ถ้าพบปลาตายเป็นจำนวนมากผิดปกติ ให้รีบแจ้งสำนักงานประมงใกล้บ้านท่านให้ทราบโดยด่วน
เพื่อจะได้ร่วมกันหาแนวทางแก้ไขหรือความช่วยเหลือได้ทันท่วงที
และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่โดยเคร่งครัด (ที่มา : กรมประมง)