นายเกษมสันต์ จิณวาโส อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ปัญหาขยะในท้องทะเลประเทศไทย ยังน่าเป็นห่วงในช่วงปีที่ผ่านมา สามารถเก็บขยะทะเลจากแหล่งดำน้ำต่าง ๆ ทั่วประเทศได้ทั้งสิ้น ๒๒ ตัน และพบว่ากว่า ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ของขยะส่วนใหญ่เป็นเครื่องมือประมง ที่เหลือเป็นขยะที่มาจากกิจกรรมทางทะเล ไม่ว่าจะเป็นการทำประมงหรือกิจกรรมท่องเที่ยว ขยะทะเลจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ อีกต่อไป แต่จะเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายอย่างหนักต่อชายฝั่ง ทะเลของไทย โดยเฉพาะในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล ที่สำคัญ ปัญหาขยะทะเลจะทำให้ความสวยงามของทัศนียภาพเสื่อมโทรม เสียหาย และลดคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยวไปอย่างมาก
ทั้งนี้ จากปัญหาที่เกิดขึ้นพบว่า ขยะทะเลส่วนใหญ่ที่เกิดจากเครื่องมือประมง เช่น อวน ข่าย ที่ถูกทิ้งไว้จะลอยไปปกคลุมแนวปะการัง รวมทั้งการทิ้งสมอเรือ การระเบิดปลา การปล่อยของเสียจากเรือประมง สิ่งเหล่านี้มักเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้แนวปะการังได้รับความเสียหาย จนนำไปสู่ปรากฏการณ์ปะการังเกิดการฟอกขาว ที่สำคัญคราบน้ำมันในทะเลที่บดบังแสงแดดทำให้ปะการังไม่สามารถฟื้นตัวจากการ ฟอกขาวได้ และเมื่อน้ำทะเลลดคราบน้ำมันก็จะไปเคลือบที่ตัวปะการังทำให้ปะการังตาย
สำหรับการแก้ไขปัญหาขยะทะเล กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจะมุ่งเป้าการดำเนินงานไปที่การ "ทิ้ง" มากกว่าการ "เก็บ" จึงจำเป็นต้องกระตุ้นจิตสำนึกที่ดีจากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งชุมชนชายฝั่ง ผู้ประกอบการ ตลอดจนนักท่องเที่ยว ให้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาขยะทะเลและได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการ กับปัญหาดังกล่าว ก่อนจะได้รับผลกระทบที่รุนแรงถึงขั้นวิกฤติจนเกินจะเยียวยาได้ในที่สุด
(ที่มา : คมชัดลึก)
